4/04/2556

สมัยโรมัน

 

สมัยโรมัน



หลังจากกรีกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ใน 146 ปี ก่อนคริสตศักราช อาณาจักรโรมันรับเอาวัฒนธรรมการดนตรีของกรีกไปทั้งหมด โดยมิได้มีการพัฒนารูปแบบของดนตรีไปสักเท่าไรนักยังคงใช้รูปแบบการร้องเสียงเดียว (Monophony) ซึ่งเรียกว่า เพลนซอง (Plain Song) หรือแชนท์ (Chant) โดยมากแล้วแต่ละแห่งจะคำนึงถึงผลของการปฏิบัติมากกว่าที่จะยึดติดกับรูปแบบที่รับมาตายตัว

นักปราชญ์ทางดนตรีสมัยโรมันยึดทฤษฎีดนตรีของกรีกเป็นหลักแล้วนำมาผสมผสานกับ
ทัศนะแบบเฮเลนิสติค เช่น โพลตินุส (Plotinus 205-270 A.D.) และศิษย์ของเขาคนหนึ่งชื่อ พอร์ฟีรี
(Porphyry 233-304 A.D.) ก็ได้เผยแพร่สั่งสอนทฤษฎีแบบเพลโตนิคใหม่ (Neo-Platonic) โพลตินุส
ได้ย้ำถึงอำนาจที่ดนตรีมีต่อจิตใจและจรรยาธรรมของมนุษย์ มีอำนาจในการชำระล้างจิตใจให้บริสุทธิ์ พาใจให้พบความสวยงามและความดีงาม และในทางตรงกันข้ามดนตรีอาจมีอำนาจทำลายหากใช้ไปใน
ทางที่ผิด ดังนั้นจึงได้มีความพยายามที่จะอนุรักษ์และกวดขันดนตรีที่ใช้ประกอบพิธีศาสนาและที่บรรเลง
สำหรับการทหาร

ในสมัยหลัง ๆ การดนตรีได้เสื่อมลงมากเพราะถูกนำไปบรรเลงประกอบในโอกาสและ
สถานที่ซึ่งไม่เหมาะสมและการจัดการบรรเลงดนตรีแบบโอ่อ่าก็ไม่เป็นที่สบอารมณ์หมู่นักปราชญ์
ทางดนตรีประเภทอนุรักษ์นิยมเท่าใดนักเช่นการจัดแสดงดนตรีวงมหึมา(Monter concert) ในสมัย
ของคารินุส (Carinus 284 A.D.) ได้มีการบรรเลงดนตรีที่ประกอบด้วยทรัมเปต 100 ชิ้นแตร
(Horn)100 ชิ้น และเครื่องดนตรีอื่น ๆ อีก 200 ชิ้นถ้าจะกล่าวถึงชีวิตของนักดนตรีในสมัยนั้นก็พูด
ได้ว่าคึกคักมากสมาคมสำหรับนักดนตรีอาชีพได้รับการจัดตั้งกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์
ศักราช มีบทบาทในการเรียกร้องสิทธิ์ให้แก่สมาชิกในรุ่นหลัง ๆ

เมื่อออกุสตุสได้ขึ้นครองราชย์แล้วก็ได้ตั้งสมาคมสำหรับดนตรีที่บรรเลงเพลงประกอบ
พิธีศาสนาและสำหรับงานของราชการด้วยนักแต่งเพลงผู้มีฝีมือก็ได้รับการอุปถัมภ์จากจักรพรรดิ
เช่น การที่จักรพรรดิ์เนโรประทานวังให้แก่เมเนคราเตส (Menecrates) คีตกวีผู้มีชื่อคนหนึ่งของสมัยนั้น

โดยสรุปแล้วโรมันเอาความรู้จากกรีกไปเผยแพร่และปรับปรุงดัดแปลงให้เข้ากับสภาพ
ความเป็นจริงในขณะนั้นเพื่อใช้ปลุกใจประชาชนให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันซึ่งจะเป็นผลดี
ผลดีต่อการปกครองอาณาจักรที่กว้างใหญ่

จากการค้นพบมรดกทางดนตรีจากแถบตะวันออกของทะเลเมดิเตอเรเนียนเมื่อครั้งโบราณ
โดยเฉพาะจากกรีกโบราณผ่านโรมันเข้าสู่ยุโรปเปิดเผยให้เห็นถึงความรู้ดนตรีที่มีค่ายิ่งเพราะทฤษฎี
เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์แห่งเสียง (Acoustic) ที่กรีกปูทางไว้ให้หลายเรื่องเช่น การกำหนดคุณสมบัติ
และจัดระเบียบของเสียง ระบบเสียงที่ก่อให้เกิดบันไดเสียงต่าง ๆ หลักในการจัดหมวดหมู่ของลีลา
หรือจังหวะ หลักเบื้องต้นในการประดิษฐ์เครื่องดนตรีระบบการบันทึกสัญลักษณ์ทางดนตรีรวมทั้ง
ทำนองเพลงเก่า ๆ ที่สะสมไว้ล้วนมีผลดีต่อการพัฒนาดนตรีตะวันตกต่อไป




















บันไดเสียงโบราณ (Church Mode)
Top Grout Palisca และ ละเอียด เหราบัตย์ ได้กล่าวถึงบันไดเสียงโบราณ ไว้ว่า…
เพลงสวดแต่งขึ้นในระบบของบันไดเสียงโบราณที่เรียกตามหลักวิชาการดนตรีสากลว่า
“เชอร์ช โมด” (Church Mode) บันไดเสียงโบราณนี้มีสองประเภท คือ (ศิลปชัย กงตาล,2542:50)

1. ออเธนติค เชอร์ช โมด (Authentic Church Mode) บันไดเสียงประเภทออเธนติค
จะเริ่มต้นจากโน้ตขั้นแรกของบันไดเสียงมีชื่อเรียกโน้ตตัวเริ่มต้นนี้ว่า “ฟินาลิส” (Finalis) ฟินาลิส
ทำหน้าที่เหมือนคีย์โน้ต (Key Note) ในปัจจุบันคือเป็นศูนย์รวมของเสียงตามขั้นต่าง ๆ ของ
บันไดเสียงออเธนติคเชอร์ชโมด ประกอบด้วย 4 บันไดเสียง คือ

1.1 โปรตุส ออเธนติคุส (Protus Authenticus) หรือ (Dorian) เป็นบันไดเสียงที่
เริ่มต้นจากโน้ต D-E-F-G-A-B-C-D หรือ เร – มี – ฟา – ซอล – ลา – ที – โด - เร


1.2 ดิวเตรุส ออเธนติคุส (Deuterus Authenticus) หรือ ฟรีเจียน (Phrygian)
เป็นบันไดเสียงที่เริ่มจากโน้ต E-F-G-A-B-C-D-E หรือ มี – ฟา – ซอล – ลา – ที – โด – เร - มี


1.3 ตรีตุส ออเธนติคุส (Tritus Authenticus)หรือ ลีเดียน (Lydian) เป็นบันไดเสียง
ที่เริ่มจากโน้ต F – G – A – B – C – D – E – F หรือ ฟา – ซอล – ลา – ที – โด – เร – มี – ฟา


1.4 เตตราร์ดุส ออเธนติคุส (Tetardus Authenticus) หรือ มิกโซลีเดียน (Mixolydian)
เป็นบันไดเสียงที่เริ่มจากโน้ต G – A – B – C – D – E – F – G หรือ ซอล – ลา – ที – โด – เร – มี – ฟา – ซอล




2. เพลกัล เชอร์ช โมด (Plagal Church Mode) คือ บันไดเสียงโบราณที่เริ่มจากโน้ตที่อยู่ต่ำลงมาจากโน้ตฟินาลิสของโมดออเธนติดในระยะขั้นคู่เสียงคู่ 4 บันไดเสียงโบราณในประเภทเพลกัลนี้มีอยู่เป็นคู่กับบันไดเสียงออเธนติค โดยมีโน้ตฟินาลิส (Finalis) ตัวเดียวกับออเธนติคเชอร์ชโมด มีอยู่ 4 บันไดเสียง คือ

2.1 โปรตุช ปลากาลิส (Protus Plagalis) หรือ ไฮโปโดเรียน โมด (Hypo – Dorian Mode) เป็นบันไดเสียงที่เริ่มจาก
A – B – C – D – E – F – G – A หรือ ลา – ที – โด – เร – มี – ฟา – ซอล – ลา โดยมีโน้ต D เป็นตัวฟินาลิส (Finalis)


2.2 ดิวเตรุส ปลากาลิส (Deuterus Plagalis) หรือ ไฮโปฟรีเจียน (Hypo - Phrygian) เป็นบันไดเสียงที่เริ่มจาก
B – C – D – E - F – G – A – B หรือ ที – โด – เร – มี – ฟา – ซอล – ลา – ที โดยมีโน้ตชื่อ E เป็นตัวฟินาลิส (Finalis)

2.3 ตรีตุสปลากาลิส (Tritus Plagalis)หรือ ไฮโปลีเดียน (Hypo – Lydian)เป็น
บันไดเสียงที่เริ่มจาก C – D – E – F – G – A – B – C หรือ โด – เร – มี – ฟา – ซอล – ลา – ที – โด
โดยมีโน้ตชื่อ G เป็นตัวฟินาลิส (Finalis)

2.4 เตตราร์ดุส ปลากาลิส (Tetrardus Plagalis) หรือ ไฮโปมิกโซลีเดียน (Hypo - Mixolydian) เป็นบันไดเสียงที่เริ่มจาก
D-E-F-G-A-B-C-D หรือ เร – มี – ฟา – ซอล – ลา – ที – โด – เร โดยมีโน้ตชื่อ G เป็นตัวฟินาลิส (Finalis)


บทเพลงแชนท์ในสมัยต้นคริสต์ศตวรรษนี้ มีการนำเครื่องหมายจุด (.)และขีด (-) มาใช้เพื่อแสดงถึงความสูง – ต่ำ ของระดับเสียง จุดและขีดเหล่านี้เขียนอยู่เหนือตัวอักษรมีชื่อเรียกตามวิชาการว่า “เอ็คโฟเนทิค โนเทชั่น” (Ecphonetic Notation) การขับร้องเพลงแชนท์นี้ไม่มีดนตรีประกอบ เป็นการขับร้องแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น





http://www.sadetmusic.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น