สมัยกลางคือ ระยะเวลาจากคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนถึงปลายศตวรรษที่ 14 (ค.ศ.450-1450) สมัยนี้เจริญสูงสุดเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12-13 ศาสนามีอำนาจสูงมาก ทั้งด้านปัญญาและสปิริต ทำให้คนสามารถรวมกันได้ หลังจากนั้นก็เริ่มเสื่อมลงแล้วติดตามด้วยสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสหลังจากสงครามก็มีการแตกแยกเกิดขึ้น ในสมัยนี้เริ่มมีหลักฐานเกี่ยวกับเพลงคฤหัสถ์ (Secular music) ซึ่งเป็นเพลงขับร้องเพื่อความรื่นเริงได้รับความนิยมและแพร่หลายมาก ในประเทศต่าง ๆ ทางยุโรปตะวันตก นอกเหนือไปจากเพลงโบสถ์ (Church music) ซึ่งเพลงทั้งสองประเภทนี้มีลักษณะต่างกันคือเพลงโบสถ์ซึ่งมีหลักฐานมาก่อน มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียวมักไม่มีดนตรีประกอบไม่มีอัตราจังหวะ ร้องเป็นภาษาละตินมีช่วงกว้างของทำนองจำกัด บันทึกเป็นภาษาตัวโน้ตที่เรียกว่า Neumatic notation เพลงคฤหัสถ์หรือเพลงที่ชาวบ้านร้องเล่นกันนอกวัด มีลักษณะเป็นเพลงร้องเสียงเดียว ที่มักจะมีดนตรีเล่นประกอบเป็นเพลงที่มีอัตราจังหวะปกติมักเป็นในจังหวะ 3/4 มีจังหวะสม่ำเสมอเป็นรูปแบบซ้ำทวน ทำนองเป็นตอน ๆ มีตอนที่เล่นซ้ำ ลักษณะที่กล่าวนี้เป็นลักษณะของเพลงในสมัยกลางตอนต้น ๆ ในระยะตอนปลายสมัยกลางคือราว ค.ศ. 1100-1400 นั้น ลักษณะของดนตรีเปลี่ยนแปลงพัฒนาไป ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจ ช่วงเวลาประมาณ 300 ปี ระหว่างคริสตศตวรรษที่ 12-14 ดนตรีในวัดมีรูปแบบเปลี่ยนไปจากตอนต้นของสมัยกลาง กล่าวคือ ในราวคริสตศตวรรษที่ 9 เป็นต้นมา เพลงแชนท์ ซึ่งรู้จักกันในนามของเกรเกอเลียน แชนท์ (Gregorian Chant) ได้รับการพัฒนามาเป็นรูปของการขับร้องแบบสอดประสานหรือ โพลีโฟนี (Polyphony) จนถึงคริสตศตวรรษที่ 13 ลักษณะของเพลงที่สำคัญในสมัยนี้ คือ ออร์แกนนั่ม (Organum) คือ การร้องในลักษณะของการร้องประสานเสียงสองแนว โดยใช้ระยะขั้นคู่เสียงคู่สี่เป็นหลักและเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน ระยะต่อมาการเคลื่อนที่เริ่มไม่จำกัดทิศทางและท้ายที่สุดมีออร์แกนนั่มแบบเสียงที่สอง (เสียงต่ำ) ร้องโน้ตยาว ๆ เพียง 1 ตัว ในขณะที่เสียงหนึ่ง (เสียงสูง) ร้องโน้ต 5-10 ตัวเนื่องจากออร์แกนนั่มเป็นเพลงที่พัฒนามาจากดนตรีในวัดหรือเพลงโบสถ์จึงเป็นเพลงที่ไม่มีอัตราจังหวะในระยะแรกต่อมาจึงเริ่มมีลักษณะของอัตราจังหวะ กล่าวได้ว่าในช่วงเวลานี้สิ่งสำคัญเกิดขึ้น คือการร้องแบบสองทำนองเริ่มเกิดขึ้นแล้วอย่างเด่นชัด เป็นลักษณะของการสอดประสานในสมัยกลางนี้ทางดนตรีแบ่งเป็นสมัยย่อย ๆ ได้สองสมัย คือ สมัยศิลป์เก่า (Ars Antiqua) และสมัยศิลป์ใหม่ (Ars Nova) | ||||||
สมัยศิลป์เก่า (Ars Antique) ดนตรีในช่วงเวลาจากกลางศตวรรษที่ 12 ถึงปลายศตวรรษที่ 13 บางทีก็เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า Ars Antique (The old Art) ซึ่งเป็นชื่อที่นักดนตรีรุ่นศตวรรษที่ 14 ตั้งชื่อย้อนหลังให้ ลักษณะของดนตรีในสมัยศิลป์เก่ามีลักษณะเป็นการสอดประสานแล้ว ซึ่งเรียกว่า ออร์แกนนั่มผู้นำ
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มนักร้องที่เล่นเพลงพื้นบ้านหลายกลุ่ม ซึ่งมักจะร้องแบบแนวเสียงเดียว ได้แก่ กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “ทรูบาดูร์” (Troubadours) อยู่ในแคว้นโปรวังซ์ (Provence) ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 กลุ่มนี้ส่วนมากเป็นชนชั้นผู้ดีผู้มีอันจะกิน และ “ทรูแวร์”(Trouveres) อยู่ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส กลุ่มนี้เจริญขึ้นหลังจากกลุ่มทรูบะดูร์เล็กน้อย ส่วนในประเทศเยอรมันมีพวกมินเนซิงเกอร์ (Minnesingers) เป็นผู้เผยแพร่เพลงขับร้องที่พรรณนาถึงความกล้าหาญของเหล่าอัศวินหรือรำพันถึงความรักที่หวานซึ้ง | ||||||
| ||||||
เครื่องดนตรี
| ||||||
- เครื่องสายที่บรรเลงด้วยการใช้คันชัก ได้แก่ ซอวิแอล (Vielle) ขนาดต่าง ๆ ซอรีเบ็ค (Rebec) ซึ่งตัวซอมีทรวดทรงคล้ายลูกแพร์ และซอทรอมบา มารินา (Tromba marina) ซึ่งเป็นซอ ขนาดใหญ่ มีสายเพียงสายเดียวหรือถ้ามีสองสายก็เทียบเสียงระดับเดียวกัน (Unison) และผู้บรรเลงจะต้องยืนสีซอ
| ||||||
ประวัติผู้ประพันธ์เพลง | ||||||
1. เลโอนิน (Leonin ประมาณ 1130-1180) เป็นผู้ควบคุมวงขับร้องประสานเสียงของกลุ่มนอเตอร์ เดมณ กรุงปารีส เขารวบรวมเพลงออร์แกนนั่ม ซึ่งเป็นเพลงโบสถ์ในพิธีต่าง ๆ ตลอดทั้งปีไว้ในหนังสือชื่อ “Great Book of Organum” บางครั้งชื่อของเลโอนินเรียกเป็นภาษาละตินว่า “ลีโอนินัส” 2. เพโรติน (Perotin หรือ Perotinus Magnus ประมาณ 1160-1220) เป็นผู้ควบคุมวงนักร้องประสานเสียงและผู้ประพันธ์เพลงของกลุ่มนอเตอร์ เดม ณ กรุงปารีส เป็นรุ่นน้องของเลโอนิน ทั้งคู่เป็นผู้บุกเบิกรูปแบบการประพันธ์เพลงแบบการสอดประสานทำนอง ทั้งเลโอนินและเพโรติน เป็นผู้ประพันธ์เพลงในสมัยศิลป์เก่า ซึ่งเป็นแนวการประพันธ์แตกต่างจากสมัยศิลป์ใหม่ 3. จาคาโป ดา โบโลนญา (Jacapo da Bologna) เป็นผู้ประพันธ์เพลงที่สร้างรูปแบบให้กับสมัยศิลป์ใหม่คนสำคัญคนหนึ่ง ในช่วงที่เขาอยู่ในกรุงมิลานได้ผลิต ผลงานมากมาย ได้แก่ เพลงมาดริกาล 30 บท คาทชา (Caccia) 1 บท และโมเต็ต 1 บท นอกจานี้ยังประพันธ์เพลงลาอูเด (Laude) ซึ่งเป็นเพลงสำคัญของชาวอิตาเลียนแบบหนึ่ง จาคาโปเป็นผู้ประพันธ์เพลงที่พยายามพัฒนารูปแบบของเพลงแบบการสอดประสานทำนองคนสำคัญของอิตาลี ผลงานของจาคาโปมีจุดเด่นที่แนวทำนองที่เด่นชัดแสดงออกถึงจินตนาการ การใช้จังหวะในลักษณะต่าง ๆและการเคลื่อนที่ไปของแนวเสียงต่าง ๆ ที่ไม่ขึ้นแก่กันในลักษณะของความกลมกลืน 4. แลนดินี (Francesco Landini ประมาณ 1325-1397) ผู้ประพันธ์เพลงและนักออร์แกนเป็นบุตรของจิตรกร แลนดินีตาบอดมาตั้งแต่เด็กจึงหันมาศึกษาดนตรีมีชื่อเสียงในฐานะ นักออร์แกนที่สามารถเล่นได้อย่างไพเราะเต็มไปด้วยเทคนิคซึ่งสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังทั่วไป แนวการประพันธ์ของแลนดินีมีลักษณะของความเป็นตัวของตัวเองมาก การถ่ายทอดอารมณ์ในเพลงมีมากกว่าผู้ประพันธ์เพลงสมัยก่อนหน้าเขา บทเพลงร้องหลายแนว ประเภทเพลงคฤหัสถ์มีชื่อเสียงและเป็นต้นกำเนิดของเพลงมาดริกาลของสมัยศิลป์ใหม่ แลนดินีจัดเป็นผู้ประพันธ์เพลงที่มีผลงานมากมาย หนึ่งในสามของบทเพลงที่ผู้ประพันธ์เพลงชาวอิตาเลียนประพันธ์ไว้ ้ในสมัยนี้เป็นบทประพันธ์เพลงของแลนดินี 5. มาโชท์ (Guillaume de Machaut, ประมาณ 1300-1377) ผู้ประพันธ์เพลงสำคัญในสมัยศิลป์ใหม่ มาโชท์เป็นพระชาวฝรั่งเศส เพลงที่ประพันธ์ส่วนใหญ่จึงเป็นเพลงโบสถ์ โดยเฉพาะเพลงแมสของมาโชท มีชื่อเสียงมาก นอกจากนี้มาโชท์ยังมีผลงานเพลงคฤหัสถ์จำนวนหนึ่งด้วย ผลงานของมาโชท์เต็มไปด้วยความประณีตในการใช้รูปแบบของการสอดประสานทำนอง (ณรุทธ์ สุทธ์จิตต์,2535 :136-140) Top | ||||||
http://www.sadetmusic.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น